วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรือนไทย



     เรือนไทย    

เรือนไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    
การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยโบราณมักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่น้ำสำคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักขึ้นต้นด้วยคำว่า “โคก โนน หนอง” เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนั้น มักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ส่วนที่ตั้งบ้านเรือนตามทางยาวของลำน้ำนั้นมีน้อย ผิดกับทางภาคกลางที่มักตั้งบ้านเรือนตามทางยาว ทั้งนี้เพราะมีแม่น้ำลำคลองมากกว่า หนุ่มสาวชาวอีสานเมื่อแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย ต่อเมื่อมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า “ออกเอือน” แล้วหักล้างถางพงหาทีทำนา ดังนั้น ที่นาของคนชั้นลูกชั้นหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที และเมื่อบริเวณเหมาะสมจะทำนาหมดไป เพราะพื้นที่ราบที่มีแหล่งน้ำมีจำกัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการทำนาบริเวณใดกว้างไกลไปมาลำบาก ก็จะชวนกันไปตังบ้านใหม่ใกล้เคียงกับนาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวหลายเป็นหมู่บ้านขึ้น การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสานมักเลือกทำเลที่เอื้อต่อการยังชีพ ซึ่งมีองค์ประกอบทั่วไปดังนี้
  1. แหล่งน้ำ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก อาจเป็นหนองน้ำใหญ่ หรือห้วย หรือลำน้ำที่แยกสาขามาจากแม่น้ำใหญ่ ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝน ส่วนมากเป็นที่ราบลุ่มสามารถทำนาและเลี้ยงสัตว์ได้ในบางฤดูเท่านั้น ชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วยคำว่า “เลิง วัง ห้วย กุด หนอง และท่า” เช่น เลิงนกทา วังสามหม้อ ห้วยยาง กุดนาคำ หนองบัวแดง ฯลฯ
  2. บริเวณที่ดอนเป็นโคกหรือที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง สามารถทำไร่และมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ มีทั้งที่ดอนริมแม่น้ำและที่ดอนตามป่าริมเขา แต่มีน้ำซับไหลมาบรรจบเป็นหนองน้ำ ชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วยคำว่า “โคก ดอน โพน และโนน” เช่น โคกสมบูรณ์ ดอนสวรรค์ โพนยางคำ ฯลฯ
  3. บริเวณป่าดง เป็นทำเลที่ใช้ปลูกพืชไร่และสามารถหาของป่าได้สะดวก มีลำธารไหลผ่าน เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้าก็กลายเป็นหมู่บ้านและมักเรียกชื่อหมู่บ้านขึ้นต้นด้วยคำว่า “ดง ป่า และเหล่า” เช่น โคกศาลา ป่าต้นเปือย เหล่าอุดม ฯลฯ
  4. บริเวณที่ราบลุ่ม เป็นพื้นที่เหมาะในการทำนาข้าว และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ในหน้าแล้ง ตัวหมู่บ้านจะตั้งอยู่บริเวณขอบหรือแนวของที่ราบติดกับชายป่า แต่น้ำท่วมไม่ถึงในหน้าฝน บางพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังตลอดทั้งปี เรียกว่า “ป่าบุ่งป่าทาม” เป็นต้น
  5. บริเวณป่าละเมาะ มักเป็นที่สาธารณะสามารถใช้เลี้ยงสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารได้ ตลอดจนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่นำมาเป็นอาหารยังชีพ รวมทั้งสมุนไพรใช้รักษาโรค และเป็นสถานที่ยกเว้นไว้เป็นดอนปู่ตา ตามคติความเชื่อของวัฒนธรรมกลุ่มไต-ลาว  
การเลือกภูมิประเทศเพื่อตั้งหมู่บ้านในภาคอีสานจะเห็นได้ว่ามีหลักสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ ต้องเลือกทำเลที่ประกอบด้วย
  • น้ำ เพื่อการยังชีพและประกอบการเกษตรกรรม
  • นา เพื่อการปลูกข้าว (ข้าวเหนียว) เป็นอาหารหลัก
  • โนน เพื่อการสร้างบ้านแปลงเมือง ที่น้ำท่วมไม่ถึง
ส่วนคติความเชื่อของชาวอีสานในการดำเนินชีวิต ชาวอีสานมีความเชื่อที่ได้รับการสิบทอดมาจากบรรพบุรุษกล่าวคือ ความเชื่อในอำนาจลี้ลับที่เหนือธรรมชาติ และเชื่อในการครองเรือน การทำมาหาเลี้ยงชีพ สิ่งใดที่โบราณห้ามว่าเป็นโทษ และทำความเดือนร้อนมาให้ก็จะละเว้นไม่ยอมทำสิ่งนั้น
สำหรับความเชื่อในการตั้งหมู่บ้านก็ไม่ต่างกันนัก ชาวอีสานมีการนับถือ “ผีบ้าน “ และแถนหรือ “ผีฟ้า” มีการเซ่นสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อให้ช่วยปกปักรักษาลูกหลาน มีการตั้ง “ศาลเจ้าปู่” ไว้ที่ดอนปู่ตา ซึ่งมีชัยภูมิเป็นโคก น้ำท่วมไม่ถึง มีต้นไม่ใหญ่หนาทึบ มีการก่อสร้าง “ตูบ” เป็นที่สถิตของเจ้าปู่ทั้งหลาย ตลอดจนการตั้ง “บือบ้าน” (หลักบ้าน) เพื่อเป็นสิริมงคลของหมู่บ้าน และมีการเซ่น “ผีอาฮัก” คือเทพารักษ์ให้ดูแลคุ้มครองผู้คนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป พิธีเลี้ยง “ผีปู่ตา” จะกระทำในเดือน 7 คำว่า “ปู่ตา” หมายถึง ญาติฝ่ายพ่อ (ปู่-ย่า) และญาติฝ่ายแม่ (ตา-ยาย) ซึ่งทั้งสี่คนนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นที่เคารพนับถือของลูกหลาน ครั้นเมื่อตายไปจึงปลูกหอหรือที่ชาวอีสานเรียก “ตูบ” มักใช้เสา 4 ต้น หลังคาจั่วพื้นสูง โดยเลือกเอาสถานที่เป็นดงใกล้บ้านมีต้นไม้ใหญ่และสัตว์ป่านานาชนิดเรียกว่า “ดงปู่ตา” ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ใครไปรุกล้ำตัดไม้หรือล่าสัตว์ไม่ได้ หรือแม้แต่แสดงวาจาหยาบคายก็ไม่ได้ ปู่ตาจะลงโทษกระทำให้เจ็บหัวปวดท้อง และเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยมีคนล้มตายผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวอีสานถือกันว่า “หลักเหงี่ยงหงวย” ต้องทำตอกหลักบ้านใหม่ให้เที่ยงตรง มรการสวดมนต์เลี้ยงพระสงฆ์ เซ่นสรวงเทพาอารักษ์ แล้วกาหลักไม้แก่นมาปักใหม่ ซึ่งต้องมีคาถาหรือยันต์ใส่พร้อมกับสวดญัตติเสาก่อนเอาลงดินในบริเวณกลางบ้าน ทั้งนี้เพราะชาวอีสานมีความเชื่อในการตั้ง “หลักบ้าน” เพราะหลักบ้านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผังชุมชนระดับหมู่บ้าน และเปรียบเสมือนหัวใจของบ้าน เมื่อชุมชนเติบโตขึ้น “หลักบ้าน” ก็พัฒนาไปสู่ “หลักเมือง” ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในแระเทศไทย หลักบ้านมักสร้างด้วยไม้มงคล เช่น ไม้คูณ ไม้ยอ มีทั้งหลักประธานหลักเดียวและมีพร้อมหลักบริวารรายล้อม ส่วนรูปแบบของหลักบ้านนั้น มักควั่นหัวไม้เป็นเสาทรงบัวตูมหยาบ ๆ บางแห่งก็ถางให้เป็นปลายแหลม แล้วทำหยักเป็น “เอวขัน” ไว้ส่วนล่าง
ความเชื่อในการสร้างเรือนอีสาน
อันดับแรกต้องพิจารณาสถานที่ ๆ จะสร้างเรือนก่อนโดยต้องเลือกเอาสถานที่ปลอดโปร่ง ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำลาดเอียงไปทางทิศใดและจะเป็นมงคลหรือไม่ ดังนี้
  1. พื้นดินใด สูงหนใต้ ต่ำทางเหนือ เรียกว่า “ไชยะเต ดีหลี”
  2. พื้นดินใด สูงหนตะวันตก ต่ำทางตะวันออก เรียกว่า “ยสะศรีดีหลี”
  3. พื้นดินใด สูงทางอีสาน ต่ำทางหรดี เรียกว่า “ไม่ดี”
  4. พื้นดินใด สูงทางอาคเนย์ ต่ำทางพายัพ เรียกว่า “เตโซ” เฮือนนั้นมิดี เป็นไข้ พยาธิฮ้อนใจ
เมื่อเลือกได้พื้นที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจัดข้าว 3 กระทง คือ ข้าวเหนียว 1 กระทง, ข้าวเหนียวดำ 1 กระทง และข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไปวางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดี ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมาก ถ้าการกินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รับเฮ็ดเรือนสมสร้างให้เสร็จเร็วไว การเลือกพื้นที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดิน โดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษ ๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าในตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน เป็นดินดีพออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน มีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องกลิ่นของดินอีกด้วย โดยการขุดดินลึกราว 1 ศอก เอาดินขึ้นมาดมกลิ่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าดินมีกลิ่นหอม ถือว่าดินนั้นอุดมดี เป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าดินมีกลิ่นเย็น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ถือว่าดินนั้นไม่ดี ใครปลูกสร้างบ้านอยู่เป็นอัปมงคล การดูพื้นที่ก่อนการสร้างเรือน ชาวอีสานแต่โบราณถือกันมาก แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยยังใช้คติเดิมแต่มีการเลี่ยงหรือการแก้เคล็ด เช่น การชิมดิน หากเป็นรสเค็มหรือเปรี้ยวก็แกเคล็ดโดยการบอกว่าจืด ส่วนการดมกลิ่นดิน การมีกลิ่นเหม็นคาวก็จะบอกเอาเคล็ดว่าหอม เป็นต้น
ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน
ฤกษ์เดือน
  1. เดือนเจียง (เดือนอ้าย) นาคนั้นนอนหลับหากปลูกเรือนอยู่มักตาย
  2. เดือนยี่ นาคนอนตื่น ปลูกเรือนอยู่ดี มีสุข
  3. เดือนสาม นาคหากินทางเหนือ มิดี อยู่ฮ้อนไฟจักไหม้
  4. เดือนสี่ นาคหากินอยู่เรือน ปลูกเรือนอยู่ดีมีมงคล
  5. เดือนห้า นาคพ่ายครุฑหนี ปลูกเรือนร้อนนอกร้อนใจ มิดี
  6. เดือนหก จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง มิตรสหายมาก
  7. เดือนเจ็ด นาคพ่ายหนี จักได้พรากจากเรือนมิดี
  8. เดือนแปด นาคเห็นครุฑ จักได้เสียของมิรู้แล้ว
  9. เดือนเก้า นาคประดับตน ปลูกเรือนมีข้าวของกินมิรู้หมด
  10. เดือนสิบ นาคถอดเครื่องประดับ ปลูกเรือนเข็ญใจ และคนในเรือนมักเจ็บไข้ตาย
  11. เดือนสิบเอ็ด จะเกิดทุกข์ภัยอันตรายต่าง ๆ มักจะมีคนฟ้องร้องกล่าวหา จักมีโทษทัณฑ์
  12. เดือนสิบสอง จะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ข้าวของ และคนใช้ดีหลีแล
ฤกษ์วัน
  1. วันอาทิตย์ ปลูกเรือนจะเกิดทุกข์อุบาทว์
  2. วันจันทร์ ทำแล้ว 2 เดือนจะได้ลาภผ้าผ่อนและของชาวเหลือง เป็นที่พึงพอใจ
  3. วันอังคาร ทำแล้ว 3 วันไฟจะไหม้หรือจะเจ็บไข้
  4. วันพุธ ปลูกเรือนจะได้ลาภเครื่องอุปโภคมีผ้าผ่อน เป็นต้น
  5. วันพฤหัสบดี ปลูกเรือนจะเกิดสุขกายสบายใจ ทำแล้ว 5 เดือนจะได้โชคลาภมาก
  6. วันศุกร์ ปลูกเรือนจะมีความทุกข์และความสุขก้ำกึ่งกันทำแล้ว 3 เดือนจะได้ลาภเล็กน้อย
  7. วันเสาร์ ปลูกเรือนจะเกิดพยาธิ หรือเลือดตกยางออก ทำแล้ว 4 เดือนจะลำบาก ห้ามไม่ให้ทำเล
ลักษณะเรือนไทยอีสาน
คำว่า “บ้าน” กับ “เฮือน” (ความหมายเช่นเดียวกับ “เรือน”) สำหรับความเข้าใจของชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำว่า “บ้าน” มักจะหมายถึง “หมู่บ้าน” มิใช่บ้านเป็นหลัง ๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำแคนหรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำว่า “เอือน” นั้น ชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลัง ๆ นอกจากคำว่า “เฮือน” แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า “โฮง” หมายถึงที่พักอาศัยที่ใหญ่กว่า “เฮือน” มักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ คำว่า “คุ้ม” หมายถึง บริเวณที่มี “เฮือน” รวมกันอยู่หลาย ๆ หลังเป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้ และคุ้มหนองบัวเป็นต้น คำว่า “ตูบ” หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้ ชาวอีสาน มีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือว่าหากสร้างเรือนให้ “ขวางตาวัน แล้ว “ขะลำ” คือเป็นอัปมงคลทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่องไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีตั้งแต่ตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อแคร่ไว้ปั่นด้าย และเลี้ยงลูกหลาน นอกจากนั้นแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน
การจัดวางแผนผังของห้องและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเรือนไทยอีสานมีดังนี้
เรือนนอนใหญ่
จะวางจั่วรับทิศตะวันออก-ตะวันตก (ตามตะวัน) ส่วนมากจะมีความยาว 3 ช่วงเสา เรียกว่า “เรือนสามห้อง” ใต้ถุนโล่ง ชั้นบนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
  1. ห้องเปิง เป็นห้องนอนของลูกชาย มักไม่กั้นห้องด้านหัวนอนมีหิ้งประดิษฐานพระพุทธรูปหรือสิ่งเคารพบูชา เช่น เครื่องราง ของขลัง เป็นต้น
  2. ห้องพ่อ-แม่ อาจกั้นเป็นห้องหรือบางทีก็ปล่อยโล่ง
  3. ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากั้นมิดชิด หากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องนี้ ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า “ห้องส่วม” ส่วนชั้นล่างของเรือนนอนใหญ่อาจใช้สอยได้อีกกล่าวคือ กั้นเป็นคอกวัวควาย ตั้งแคร่นอนพักผ่อนในตอนกลางวัน และทำหัตถกรรมจักสานถักทอของสมาชิกในครอบครัว เก็บอุปกรณ์การทำนาทำไร่ เช่น จอบ เสียม คราด ตลอดจนเกวียน เป็นต้น
เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม)
เป็นพื้นที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รับแขก ที่รับประทานอาหาร และใช้เป็นที่หลับนอนของลูกชายและแขกเหรื่อที่กลับมาจากงานบุญในตอนค่ำคืน ส่วนของใต้ถุนจะเตี้ยกว่าปกติ ซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บฟืนหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่โตนัก
เรือนแฝด
เป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอน ในกรณีที่พื้นทั้งสองหลังเสมอกัน โครงสร้างทั้งคานพื้นและขื่อหลังคาจะฝากไว้กับเรือนนอน แต่หากเป็นเรือนแฝดลดพื้นลงมากกว่าเรือนนอนก็มักเสริมเสาเหล็กมารับคานไว้อีกแถวหนึ่งต่างหาก
เรือนโข่ง
มีลักษณะเป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอนใหญ่แต่ต่างจากเรือนแฝดตรงที่โครงสร้างของเรือนโข่งจะแยกออกจากเรือนนอน โดยสิ้นเชิง สามารถรื้อถอนออกไปปลูกใหม่ได้โดยไม่ประทบกระเทือนต่อเรือนนอน การต่อเชื่อมของชายคาทั้ง 2 หลัง ใช้รางน้ำ โดยใช้ไม้กระดาน 2 แผ่นต่อกันเป็นรูปตัววีแล้วอุดด้วยชันผสมขี้เลื่อย ในกรณีที่เรือนไม่มีครัวก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนเรือนโข่งนี้ทำครัวชั่วคราวได้
เรือนไฟ (เรือนครัว)
ส่วนมากจะเป็นเรือน 2 ช่วงเสา มีจั่วโปร่งเพื่อระบายควันไฟ ฝานิยมใช้ไม้ไผ่สานลายทแยงหรือลายขัด
ชานแดด
เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึ้นด้านหน้าเรือนมี “ฮ้างแอ่งน้ำ” (้ร้านหม้อน้ำ) อยู่ตรงขอบของชานแดด บางเรือนที่มีบันไดขึ้นลงทางด้านนหลังจะมี “ชานมน” ลดระดับลงไปเล็กน้อยโดยอยู่ก้านหน้าของเรือนไฟเพื่อใช้เป็นที่ล้างภาชนะตั้งโอ่งน้ำและวางกระบะปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ
รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัยที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่าง ๆ กัน ดังต่อไปนี้
ประเภทชั่วคราว หรือใช้เฉพาะฤดูกาล ได้แก่ “เถียงนา” หรือ “เถียงไร่” ส่วนใหญ่จะยกพื้นสูง เสาเรือนใช้ไม้จริง ส่วนโครงใช้ไม้ไผ่หลังคามุงหญ้าหรือแป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนเก่า พื้นเป็นไม้ไผ่สับ ในกรณีที่ไร่นาอยู่ไม่ไกลจากเรือนพักสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวจะไม่นิยมกั้นฝา หากต้องค้างคืนก็มักกั้นฝาด้วย “แถบตอง” คือสานไม้ไผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหียงหรือใบต้นพลวง ซึ่งจะทนทานอยู่ราว 1-2 ปี
ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่มั่นคงแข็งแรงนักชาวอีสานเรียกว่า “เรือนเหย้า” หรือ “เฮือนย้าว” เป็นการเริ่มต้นชีวิตการครองเรือน และค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบไปสู่การมีเรือนถาวรในที่สุด ผู้ที่จะมี “เรือนเหย้า” นี้จะเป็นเขยของบ้านที่เริ่มแยกตัวออกไปจากเรือนใหญ่ (เรือนพ่อแม่) เพราะในแง่ความเชื่อของชาวอีสาน เรือนหลังเดียวไม่ควรให้ครอบครัวของพี่น้องอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในบ้านหลังหนึ่ง ๆ ควรมีเขยเดียวเท่านั้น การมีเขนมากกว่าหนึ่งคนมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันถือว่าจะเกิด “ขะลำ” หรือสิ่งอัปมงคล เรือนประเภทนี้วัสดุก่อสร้างมักไม่พิถีพิถันนัก อาจเป็นแบบ “เรือนเครื่องผูก” หรือเป็นแบบผสมของ “เรือนเครื่องสับ” ก็ได้ เรือนประเภทกึ่งถาวรนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
  1. เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ตูบต่อเล้า” เป็นเรือนที่อิงเข้ากับตัวเล้าข้าว ซึ่งมีอยู่เกือบทุกครัวเรือน มีลักษณะคล้ายเพิงหมาแหงนทั่วไปด้านสูงจะไปอาศัยโครงสร้างของเล้าข้าวเป็นตัวยึด ต่อหลังคาลาดต่ำลงไปทางด้านข้างของเล้า แล้วใช้เสาไม้จริงตั้งรับเพียง 2-3 ต้น มุงหลังคาด้ายหญ้าหรือสังกะสี ยกพื้นเตี้ย ๆ กั้นฝาแบบชั่วคราว อาศัยกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง พอตั้งตัวได้ก็จะย้ายไปปลูกเรือนใหญ่ถาวรอยู่เอง ตรงส่วนที่เป็น “ตูบต่อเล้า” นี้ก็ทิ้งให้เป็นที่นอนเล่นของพ่อแม่ต่อไป
  2. เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งต่อดิน” เป็นเรือนพักอาศัยที่แยกตัวออกจากเรือนใหญ่ทำนองเดียวกับ “ตูบต่อเล้า” แต่จะดูเป็นสัดส่วนมากกว่า ขนาดของพื้นที่ค่อนข้างน้อย กว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวไม่เกิน 5 เมตร นิยมทำ 2 ช่วงเสา คำว่า “ดั้งต่อดิน” เป็นคำเรียกของชาวไทยอีสานที่หมายถึง ตัวเสาดั้งจะฝังถึงดิน และใช้ไม้ท่อนเดียวตลอดสูงขึ้นไปรับอกไก่ วิธีสร้าง “ดั้งต่อดิน” มักใช้ผูกโครงสร้างเหมือนกับเรือนเครื่องผูกตัวเสาและเครื่องบนนิยมใช้ไม้จริงทุบเปลือก หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่กรองเป็นตับแล้วเรียกว่า “ไพหญ้า” หรือใช้แป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนใหญ่ ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตองโดยใช้ใบกุงหรือใบชาดมาประกบกับไม้ไผ่สานโปร่งเป็นตาราง หรือทำเป็นฝาไม้ไผ่สับฟากสานลายขัดหรือลายสองทแยงตามแต่สะดวก ส่วนพื้นนิยมใช้พื้นสับฟากหรือใช้แผ่นการดานปูรอง โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกมามัดขนาบกันแผ่นกระดานขยับเลื่อน
  3. เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งตั้งคาน” ยังอยู่ในประเภทของเรือนเครื่องผูก มีความแตกต่างจากเรือน “ดั้งต่อดิน” ตรงที่เสาดั้งต้นกลางจะลงมาพักบนคานสกัดไม่ต่อลงไปถึงดิน ส่วนการใช้วัสดุมุงหลังคา ฝาและพื้นเรือนจะใช้เช่นเดียวกับเรือนประเภท “ดั้งต่อดิน”
ประเภทถาวร
 ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น “เรือนเครื่องสับ” สังเกตได้จากการเลือกใช้วัสดุ รูปแบบของการก่อสร้าง ประโยชน์ใช้สอยและความประณีตทางช่าง อาจจำแนกเรือนถาวรได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้
  1. ชนิดเรือนเกย มีลักษณะใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว เสาใช้ไม้กลม 8 เหลี่ยม หรือเสา 4 เหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เกย ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ (ร้านหม้อน้ำ)
  2. ชนิดเรือนแฝด มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เรือนแฝด เกย ชานแดด เรือนไฟ ฮ้างแอ่งน้ำ
  3. ชนิดเรือนโข่ง มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยม มีจั่วแฝดอยู่ชิดติดกัน ไม่นิยมมีเกย เรือนชนิดนี้ประกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนโข่ง ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ

เค้กผลไม้รวม Fruit Cake (ฟรุ๊ตเค้ก)


เค้กผลไม้รวม Fruit Cake (ฟรุ๊ตเค้ก)

เขียนโดย fruitcake ที่ 04:13 0 ความคิดเห็น



ส่วนผสม:
  • แป้งเค้ก
  • ผลไม้อบแห้งที่ต้องการ
  • เนยรสจืด
  • น้ำตาลทรายแดง
  • นมจืด
  • เยมส้ม
  • เมล็ดมะม่วงหิมมะพานอบ
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • เกลือ
  • ผงฟู
  • น้ำฝึ้ง
  • เหล้ารำ
ขั้นตอนการทำ:
  1. ร่อนของแห้งทั้งหมดลงผสมให้เข้ากัน แป้งเค้ก+น้ำตาลทรายแดง+เกลือ+ผงฟู
  2. หั่นผลไม้อบแห้งชิ้นพอประมาณไม่ใหญ่เกิดไป
  3. หมักผลไม้อบแห้งด้วยเหล้ารำ
  4. ตีเนยด้วยความเร็วสูง จนกว่าเนยเริ่มจะขึ้นฟู ใส่ไข่ไก่ที่ละ 1 ฟอง ใส่น้ำผึ้งที่เตรียมไว้
  5. ลดความเร็วในการตี ใส่แป้งและนมสดลงไปที่ละนิด
  6. นำผลไม้รวมที่หมักไว้มาใส่ลงในแป้งที่ผสม(เหลือไว้บางส่วนไว้แต่งหน้า) คลุกให้เข้ากัน จากนั้นใส่เมล็ดมะม่วงหิมมะพานลงไป
  7. เตรียมพิมพ์โดยรองกระดาษไขเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเค้กติดกับพิมพ์
  8. โรยผลไม้อบที่เหลือไว้ด้านบน
  9. นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศา เป็นเวลา 40 นาที 
  10. นำออกจากเตา โดยให้แกะกระดาษไขออกทันที พักทิ้งไว้ให้เย็น
  11. ตกแต่งหน้าเค้กด้วยแยมส้ม

ดูวิธีทำโดยละเอียด





บัตเตอร์เค้ก Butter Cake (เค้กเนยสด)

เขียนโดย fruitcake ที่ 03:38 0 ความคิดเห็น


ส่วนผสม:
  • แป้งเค้ก
  • ไอส์ซิ่ง หรือนำน้ำตาลไปปั่นในโถแห้ง
  • นมสดรสจืด
  • ไข่ไก่สด
  • เนยละลาย
  • โอวาเล็ต (ทำให้เค้กมีเนื้อเนียนละเอียด)
  • กลิ่น นม-เนย
  • เกลือ
  • ผงฟู
ขั้นตอนการทำ:
  1. ร่อนของแห้งทั้งหมดลงผสมให้เข้ากัน
  2. นำสวนผสมทั้งหมดมาตีให้เข้ากันยกเว้นเนยละลาย ตีจนส่วนผสมเป็นสีเหลืองออน
  3. ค่อยๆใส่เนยละลาย
  4. เทลงใส่พิมพ์ เข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศา ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขึ้นอยู่กับขนาด
  5. นำออกมาพักรอให้เย็น พร้อมรับประทาน

ดูวิธีทำโดยละเอียด




เค้กกล้วยหอมเจ

เขียนโดย fruitcake ที่ 05:23 0 ความคิดเห็น
ใช้วิธีทำแบบนึ่งสำหรับคนไม่มีเตาอบ
เครื่องประกอบ:-
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ ๑ ถ้วยตวง
  • กล้วยหอมสุกขูดหรือบด ๑ ถ้วยตวง (ประมาณ ๒ ลูกใหญ่ ใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยอื่นๆแทนก็ได้)
  • โยเกิตหรือนมเปรี้ยว ๑/๔ ถ้วยตวง (จะใช้นมสดแล้วบีบน้ำมะนาวใส่ลงไปสัก ๑ ช้อนชาแทนก็ได้)
  • น้ำมันพืช ๑/๔ ถ้วยตวง (ใช้เนยสดละลายหรือมาการีนแทนได้)
  • น้ำตาลทราย ๑/๒ ถ้วยตวง (เพิ่มได้ถ้าชอบหวานมาก ใช้น้ำตาลทรายแดงแทนได้)
  • ไข่ไก่ ๑ ฟอง
  • ผงฟู ๑ ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา ๑/๒ ช้อนชา
  • อบเชยป่น ๑/๒ ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)
  • ลูกเกด เมล็ดทานตะวัน วอลนัท ๑/๒ ถ้วยตวง (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือใส่รวมๆกันก็ได้ ใช้ถั่วประเภทอื่นแทนก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้)
(เครื่องประกอบข้างต้นทำได้ประมาณ ๑๒ ชิ้นขนาดกลางตามรูป)


วิธีทำ:-
  • ร่อนแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา อบเชยป่น(ถ้าใส่) ๑ หรือ ๒ ครั้ง 
  • ใส่น้ำตาล น้ำมันพืช ในชามผสม พร้อมตอกไข่ใส่ลงไปด้วย ตีให้เข้ากันพอให้น้ำตาลละลายใช้ได้
  • ใส่กล้วยบดลงไป ตีให้เข้ากันใส่เมล็ดพืชที่ใช้ลงไป ตัวอย่างนี้เราใส่เมล็ดทานตะวันและลูกเกด

  • ตีพอเข้ากันดี ใส่แป้งและโยเกิตลงไป
  • ตีหรือคนเบาๆพอให้เข้ากันดีใช้ได้
  • ตักใส่ถ้วยที่นึ่งได้
นึ่งน้ำเดือดไฟแรงประมาณ ๑๐ - ๑๕ นาที แล้วแต่ขนาดที่ทำ และภาชนะที่ใช้
***ใครไม่ชอบแบบนึ่งก็เทใส่ถาดอบ แล้วอบที่ไฟ ๓๕๐ ฟาเรนไฮต์ ก็ได้ ประมาณ ๑๕ นาทีหรือจนสุก***

เค้กที่นึ่งสุกแล้ว ถ้าใส่อบเชยป่นด้วย สีจะออกน้ำตาลอ่อนๆ ถ้าไม่ใส่ก็จะออกสีขาว

ที่มา:
เค้กที่นึ่งสุกแล้ว ถ้าใส่อบเชยป่นด้วย สีจะออกน้ำตาลอ่อนๆ ถ้าไม่ใส่ก็จะออกสีขาว


ที่มา: http://rueanthai2.lefora.com/2009/10/17/20091017161056/



เค้กมะพร้าวอ่อน

เขียนโดย fruitcake ที่ 00:25 0 ความคิดเห็น
เค้กมะพร้ามอ่อน !!! รู้สึกว่าผลไม้เกือบทุกชนิดเนี๊ยะ เอามาทำขนมเค้กได้ทั้งนั้นเลย อิอิ น่ากินๆๆอีกแล้ว มีหวังอ้วนก็คราวนี้แหละ อยากรู้วิธีทำกันแระยังเอ่ย ไปลองทำกันเลยค่ะ
  • ส่วนผสม 1 แป้งเค้ก 45 กรัม
    ผงฟู 1/4 ช้อนชา
    น้ำตาลทรายป่น 27 กรัม
    เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • ส่วนผสม 2 ไข่แดงเบอร์สอง 2 ฟอง
    กะทิ 16.5 กรัม
    น้ำมันพืช 16.5 กรัม
    น้ำมะพร้าว 12 กรัม
  • ส่วนผสม 3 ไข่ขาวเบอร์สอง 2 ฟอง
    ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/8 ช้อนชา
    น้ำตาลทรายป่น 27 กรัม

วิธีทำ
  • ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เกลือ น้ำตาลป่นเข้าด้วยกัน พักไว้
  • ในชามอีกใบผสมไข่แดง น้ำมันพืช กะทิ น้ำมะพร้าว ตีให้พอเข้ากัน เทส่วนผสมที่ 2 ลงในส่วนผสมที่ 1 คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี พักไว้
  • ใน ชามที่สะอาดตีไข่ขาวกะครีมออฟทาร์ทาร์ให้เป็นฟอง จากนั้นค่อยๆทะยอยใส่น้ำตาลป่นลงไป ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน แบ่งส่วนผสมไข่ขาวออกเป็น 3 ส่วน นำไข่ขาวลงไปตะล่อมกะส่วนผสม 1+2 อย่างเบามือทีละส่วน ทำแบบนี้จนหมดไข่ขาว
  • เท ส่วนผสมที่ได้ลงในพิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ กระแทกพิมพ์ 1 ครั้ง นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 C อบด้วยไฟล่าง นาน 15-20 นาที พอสุกแล้วนำออกจากเตา กระแทกพิมพ์แรงๆ 1 ครั้งๆ นำเค้กออกจากพิมพ์ พักไว้ให้เย็น
ส่วนผสมไส้ครีมมะพร้าวอ่อน
นม ข้นจืด 62.5 กรัม กะทิ 62.5 กรัม น้ำมะพร้าวอ่อน 75 กรัม น้ำตาล 25 กรัม แป้งกวนไส้ 15 กรัม เกลือ 1/8 ช้อนชา เนยสด 15 กรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ลูก
นำ นมข้นจืด กะทิ น้ำมะพร้าวอ่อน น้ำตาล แป้งกวนไส้ เกลือ ใส่ชาม คนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟแบบ double-boiling คนส่วนผสมไปในทางเดียวกันตลอดเวลา จนกระทั่งแป้งสุก ส่วนผสมข้น ยกลงจากเตา ใส่เนยกับเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปคนให้เข้ากัน พักไว้ให้ส่วนผสมเย็นแล้วจึงนำไปทาบนเนื้อเค้ก

เค้กกล้วยหอม

เขียนโดย fruitcake ที่ 23:31 1 ความคิดเห็น
ขนมกะผลไม้นี่ ก็เอามาใช้คู่กัยบ๊อยบ่อย แต่ผลที่ได้ออกมาก็น่าประทับใจ ทั้งหอมและหวาน ก่อนหน้านี้ก็ใช้สตอเบอร์รี่กันนะคะ คราวนี้เราลองมาทำเค้กกล้วยหอมกันดูค่ะ ว่าจะถูกปากเหมือนที่ผ่านมาอ๊ะป่าว >_< " อยากกินแล้วอ่ะจิ
ส่วนผสมเค้ก
  • แป้งสาลีสำหรับทำเค้ก 3 ถ้วย
  • เนยสดชนิดเค็ม 1 1/2 ถ้วย
  • เนยขาว 1/2 ถ้วย
  • ไข่ไก่ฟองใหญ่ 4 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 1 1/4 ถ้วย
  • ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  • เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  • กล้วยหอมบดละเอียด 1 ถ้วย
  • กลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา
  • นมสด 1/2 ถ้วย
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • ชีสแผ่นหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก 1/4 ถ้วย
วิธีทำ
  1. เตรียมแป้งไว้โดยผสมแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน ร่อนด้วยตะแกรงร่อนแป้ง 1 ครั้ง
  2. ผสมกล้วยหอมบด นมสด วานิลลาเข้าด้วยกัน พักไว้
  3. ตีเนยสด เนยขาว และเกลือเข้าด้วยกัน ด้วยเครื่องตีไข่ไฟฟ้า พอขึ้นฟู ใส่น้ำตาล ตีต่อจนขึ้นฟู เป็นครีมขาว ต่อยไข่ใส่ทีละฟอง ตีให้เข้ากันจนหมดไข่
  4. ใส่ส่วนผสมแป้ง สลับกับส่วนผสมกล้วยหอม ตีเบาๆ ให้เข้ากันใส่ชีส คนให้ทั่ว
  5. เทส่วนผสมใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 6×6x2 นิ้ว ที่ทาเนยและรองด้วยกระดาษไข ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ เคาะพิมพ์เบาๆ
  6. นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 300 F ประมาณ 20 นาทีหรือจนสุก เอาออกจากเตาอบ ทิ้งไว้สักครู่ คว่ำออกจากพิมพ์ดึงกระดาษออก หั่นเป็นชิ้น
หน้าตาก็จาออกมาเป็นอย่างนี้คร๊าบ ....
เด๋วขอแว๊ปไปทานก่อนนะคะ ใครที่อยากกินฝีมือตัวเองก็ลองไปทำกันดูนะคะ วิธีทำก็ไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ สู้ๆนะคะ

สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก

เขียนโดย fruitcake ที่ 19:46 0 ความคิดเห็น
วันนี้นะคะ เอาวิธีการทำ สตอเบอร์รี่ชีสเค้ก มาฝากค่ะ ใครที่ชอบทานสตอเบอร์รี่ นี่ห้ามพลาดเลยนะคะ นอกจากหน้าตาจาน่ารักแล้ว ยังน่าทานด้วยนะคะ งั้นเรามาดูวิธีทำกันดีกว่าค่ะ ใครมีความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ก็ comment มานะคะ แล้วจาเอาวิธีการทำขนมเค้ก อื่นๆ มาให้ลองทำกันอีกนะคะ ^^"



ส่วนผสมครัสท์

1.เกรมแคร้กเกอร์ (graham cracker) 1 1/2 ถ้วย
2.น้ำตาลทรายแดง 2 ชต.
3.เกลือ 1/8 ชช.
4.เนยละลาย 5 ชต.
วิธีทำ
1. ผสมของแห้งทุกอย่างรวมกัน ละลายเนยให้เหลว แล้วเทลงในอ่างแกรมแคร้กเกอร์
ใช้ไม้พายคนส่วนผสมเข้าด้วยกัน คนไปเรื่อยๆจนกระทั่งส่วนผสมร่วนเป็นทรายไม่เกาะกันเป็นก้อนค่ะ
2.เอาเนยทาที่ก้นพิมพ์ไว้ก่อนนะคะ พอส่วนผสมเรียบร้อยก็เอามากรุก้นพิมพ์ใช้มือกดๆให้เรียบแน่นหน่อยนะคะ จากนั้นก็เอาพิมพ์นี้ไปใส่ตู้เย็นให้ส่วนผสมแข็งจับตัว กันค่ะ ซัก 10-12 นาที แล้วก็เอาไปอบใช้ไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ อบเสร็จแล้วก็พักไว้ก่อนค่ะ แล้วเราก็ไปทำตัวชีสเค้กกันก่อนนะคะ
ส่วนผสมตัวชีสเค้ก
1.ครีมชีสขนาด 8 ออนซ์ 3ก้อน
2.น้ำตาล 1 1/4ถ้วย
3.วานิลา extract 1/4 ชช
4.ไข่ ทั้งฟอง 3 ฟอง
5.ไข่แดง 1 ฟอง
6.เฮฟวี่ครีม 1/3 ถ.
7.sour cream 1/3 ถ.
8.ผิวเลมอน หรือใช้แต่ เลมอนแอ๊คแทรคก็ได้ค่ะ 1/4 ชช
มาเริ่มทำตัวเค้กกันต่อค่ะ..
1.เอาครีมชีส ต้องวางไว้ให้หายเย็นก่อนนะคะ อุณภูมิห้องตามตำรา ใส่ชามอ่างแล้วตีให้เนียนอย่าตีนานมากเกินไป พอตีเนียนดีแล้ว เอาน้ำตาลใส่ลงไปตีใส่น้ำตาลทีละ 1/3ถ้วยนะคะ ตีไปจนน้ำตาลหมด ใช้พายยางปาดๆขอบอ่างด้วย
2.ต่อไปใส่ไข่ ใ่ส่ทีละฟองนะคะ ความเร็วของเครื่องที่ใช้ตีนี้ปานกลางค่อนข้างต่ำค่ะ
3.จากนั้นก็ใส่เฮฟวี่ครีม sour cream วานิลา เลมอนแอ๊คแทรค ตีให้เข้ากันค่ะ ตอนที่ตักส่วนผสมให้เข้ากันนี้ ทำๆหยุดๆด้วยนะคะ ใช้พายยางปาดตรงก้นขึ้นมาด้วย เผื่อมีครีมติดอยู่ก้นโถนะคะ ลืมบอกไปค่ะว่าถ้าหาsour cream ไม่ได้ให้ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทนได้ค่ะ
4.เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็เทใส่พิมพ์ขนาด 9 นิ้ว อย่าลืมทาขอบๆพิมพ์ด้วยเนยนะคะ เอาใส่เตาอบชั้้นกลางของเตาอบ อบนาน 55 นาทีถึง 1 ชม.พออบเสร็จอย่าเพิ่งด่วนเอาชีสเค้กออกจากเตาอบ แค่ปิดเตาอบ แล้วแง้มๆเตาอบเปิดไว้นานประมาณ 1 ชม.ก่อนที่จะเอาเค้กออกมาตั้งข้างนอกให้อยู่ในอุณหภูมิห้องอีกทีนะคะ หน้าเค้กจะได้ไม่แตกค่ะ พอพักไว้เย็นอุณหภูมิห้องแล้วก็เอาใส่ตู้เย็นไว้ ให้เค้กอยู่ตัวอีก อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนจะตัดเค้กมาทานค่ะ


ว๊าวๆๆๆ เพียงเท่านี้เราก็จามีเค้กน่ารักๆทานกันแล้วนะคะ ใครทำออกมาหน้าตาเป็นยังไง รสชาติถูกปากกันบ้างรึป่าว เอามาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ ^^" ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการทำ สตอร์เบอร์รี่ชีสเค้ก นะคะ สู้ๆ

 fruitcake 

เค้กชอคโกแลตหน้านิ่ม

เขียนโดย fruitcake ที่ 17:56 0 ความคิดเห็น
เผลอปุ๊บนึกถึง ชอคโกแลต ปัป ลิ้นก็อยากจะสัมผัส  ใจก็อยากจะได้มา พอนึกปุ้บน้ำในปากไหลปัป นี่ขนาดห้ามใจนะ
นี้ขนาดแค่ตั้งใจ เผลอปุปนึกถึง ชอคโกแลต ปัป ....... ทุกๆอย่างก็แวววับ โลกหมุนกลับในพริบตา
น้าทุกข์ ช้างตัวใหญ่มานั่งทับ อย่าคิดว่าใหย่แล้วยอมนะ เพื่อ ชอคโกแลตฉันทำได้
แม้เธอดำแต่ฉันยืนยันจะรักเธอ ดำได้ใจแต่หวานเกินใครก็ยิ่งรัก ชอคโกแลต
ชอคโกแลตถึงแม้ฉันจะทานต่อ(แม้ว่าฉันจะทานแล้วโดนล้อ)ชอคโกแลต ถึงแม้ฉันจะทานต่อ(แม้ว่าฉันจะทานแล้วมันไม่หล่อ)  555 จบเพลงๆๆ ค่ะ ยิ่งร้องแล้วยิ่งอยากจากิน ชอคโกแลต
ไม๊คะ งั้นวันนี้  เรามาดูวิธีการทำเค้กชอคโกแลต กันเลยดีกว่านะคะ อิ_อิ


ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 1 

- แป้งเค้ก 80 กรัม
- ผงฟู 1/4 ช้อนชา
- เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
- ผงโกโก้ 25 กรัม
- น้ำตาลทรายป่น 90 กรัม

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 2

- น้ำ 50 กรัม
- นมข้นจืด 25 กรัม
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 65 กรัม
- ไข่แดง 2 ฟอง

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 3

- ไข่ขาว 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย 45 กรัม
- ครีมออฟทาทาร์ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำตัวเค้ก 
นำส่วนผสม 1 ได้แก่ แป้งเค้ก น้ำตาลทรายป่น ผงโกโก้ โซดา ผงฟู ร่อนร่วมกัน 2 ครั้งคะ ถ้าใช้วนิลลาแบบผงก็ร่อนรวมกันไปเลย แต่ใช้แบบน้ำใส่ทีหลังคะ เกลือป่นใส่หลังจากร่อนของแห้งอื่น ๆ แล้วนะคะ เพราะมันค่อนข้างเม็ดใหญ่ แล้วเอาช้อนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลางไว้ค่ะ

แล้วนำของเหลว (2) ที่ผสมกันไว้เทใส่ชามผสมของแห้ง (1) ค่ะ แล้ว เอาตะกร้อมือคนแบบน้ำเซาะตลิ่งให้เข้ากัน หรือจะคนแบบแรง ๆ เร็ว ๆ ก็ได้คะ พอเข้ากันแล้วหยุดเลย ถ้าคนมากเนื้อเค้กที่ได้เหนียวคะ แล้วพักไว้ก่อนคะ

มาถึงส่วนผสมที่ 3 บ้างค่ะ ไข่ขาวและครีมออฟทาร์ทาร์ใส่ชามผสม ตีด้วยความเร็วสูงจนเป็นฟอง ใส่น้ำตาลทรายป่นลงไปแล้วตีต่อด้วยความเร็วสูงค่ะ ใส่ทีละช้อนนะ ประมาณ 3 ครั้งค่ะ จนตั้งยอดอ่อนก่อนที่จะแข็ง แล้วหยุดค่ะ

นำส่วนของไข่ขาวไปผสมกับส่วนของไข่แดงที่เราผสมกันไว้เมื่อกี้ แบ่งผสม 2 ครั้งนะ ใช้ตะกร้อมือส่วนผสมจะเข้ากันง่ายกว่าไม้พายนะคะ ถ้าตีไข่ขาวตั้งยอดมากไป ผสมกว่าจะเข้ากันใช้เวลานานนะคะ ไม่ดี เนื้อเค้กก็จะหยาบแห้งด้วย ก็ผสมกันจนหมดนะคะ พอผสมเข้ากันดีแล้วเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้คะ เคาะก้นพิมพ์เบา ๆ ไล่ฟองอากาศออกไปค่ะ นำเข้าเตาอบได้เลยค่ะ



เค้กสุกนำออกมา กระแทกพิมพ์ให้โครงสร้างอยู่ตัว 1 ที รอเย็นนำออกจากพิมพ์ค่ะ คราวนี้มาทำหน้านิ่มกันค่ะ

ส่วนผสมหน้าเค้ก
ส่วนที่1 
- ผงวุ้น 1 ช้อนชา
- น้ำ 300 กรัม
- นมข้นจืด 200 กรัม
- น้ำตาลทราย 200 กรัม
- โกโก้ 50 กรัม

ส่วนที่2
- แป้งข้าวโพด 40 กรัม
- นมข้นจืด 150 กรัม

ส่วนที่3
- เนยสด 150 กรัม

วิธีทำหน้านิ่ม

นำ น้ำ, น้ำตาลทราย, นมข้นจืดส่วนที่ 1 (200 กรัม), ผงโกโก้ และผงวุ้น ใส่หม้อรวมกันเลยค่ะ เอาตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันก่อนค่ะ

ส่วนของ แป้งข้าวโพดและนมข้นจืดส่วนที่ 2 รวมกันให้เข้ากัน

นำไปตั้งไฟอ่อนๆ แต่ก็ไม่อ่อนเสียสีเดียว มากกว่าอ่อนหน่อยค่ะ เอาตะกร้อมือคนตลอด ให้น้ำตาลทรายและผงวุ้นละลาคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือดนะคะ

แล้วก็เทแป้งข้าวโพดที่ละลายรวมกับนมข้นจืดลงไป ก่อนเทเขย่าๆ อีกทีคะ ตอนนี้ต้องลดไฟลงอ่อนค่ะ ใช้ตะกร้อมือคนตลอด ส่วนผสมจะข้นขึ้น ห้ามหยุดมือค่ะ

ใส่เนยสดที่หั่นชิ้นเล็กลงไปคะ ถ้าใส่รัมใส่ตอนนี้เลยคะ คนให้เนยละลาย ปิดเตาเลยคะ
จากนั้นก็คนด้วยตะกร้อมือต่อให้หน้านิ่มอุ่น ห้ามหยุดคน มันจะ set ตัวเป็นลิ่มๆ หยอดแล้วไม่สวยคะ

เมื่อเค้กเย็นแล้วนำออกจากพิมพ์ slice เป็นกี่ชั้นตามต้องการนะคะ


แบ่งหน้านิ่มตักใส่ไปค่ะ เท่าไรก็ใส่ไป แต่ดูให้มันสมดุลแล้วกันค่ะ หน้านิ่มนี่ต้องคอยคนตลอดนะ ห้ามหยุด หยุดแล้วมันจะเป็นลิ่มๆ ค่ะ

แล้วก็จับเค้กเอียงๆ ให้หน้านิ่มไหล แล้วก็กระแทกๆ ให้หมดฟองอากาศ หรือใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มก็ได้ ทิ้งเวลาไว้ให้หน้านิ่มเซ็ทตัวนิดหน่อย เอานิ้วสัมผัสดูหน้ามันจะตึงๆ ค่ะ

พอหน้านิ่มด้านล่างตึงๆ แล้วเอาเค้กชั้นต่อมาวางลงไป แล้วก็ทำเหมือนเดิมเหมือนเมื่อกี้ คราวนี้ทิ้งเวลาไว้กว่าหน้านิ่มจะเซ็ทตัวทั้งหมด

เขียนโดย fruit cake


เขียนโดย fruitcake 


วิธีการซ่อมคีย์บอร์ดแบบบ้านๆ

สวัสดีครับชาว FPS Thailand ทุกท่าน 

ผม NeryManZa เรียกเนยก็ได้ครับ 

วันนี้ผมมีวิธีซ่อมคีย์บอร์ดแบบบ้านๆ บ้านมากๆ บ้านสุดๆ 

สำหรับคนที่มีคีย์บอร์ดที่ปุ่มบางปุ่มกดไม่ติด เสียดาย ไม่มีตัง บ้านจนเหมือนผม
  

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่าไม่ได้เก่งมาจากไหนถ้าหากผิดพลาดประการณ์ใดก็ขออภัยด้วยละกันครับ ผม  
-------------------------------------------------คำเตือน--------------------------------------------------------
1.กรุณาใช้คีย์บอร์ดที่หมดประกันแล้ว(มีประกันผมจะเอามาแยกชิ้นส่วนทำไม  )
2.ถ้าซ่อมแล้วระเบิดให้ทำเรื่องฟ้องศาลกับบริษัทธิ์ผู้ผลิตคีย์บอร์ดของท่านนะครับ(มันจะระเบิดได้ยังไงฟระ  )
3.บลาๆๆๆๆ นึกไม่ออกแล้วครับ นึกออกจะมาใส่เพิ่ม ฮ่าๆๆ  
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


อันดับแรก เรามาเตรียมอุปกรณ์กันก่อนละกัน


1.คีย์บอร์ดRubber Domeเจ้ากรรมของท่านๆล่ะครับ สวดมนต์แผ่เมตตาภาวนาให้มันก่อนชำแหละด้วยนะคร๊าบบบ  
อาการของเจ้าตัวนี้คือ ปุ่มตัว T และ Shift ซ้ายใช้ไม่ได้ครับ
(ยังไม่มีปัญญาซื้อ Mech Keyboardครับ รอได้ BW+รอประกันหมด+มันพัง จะมาชำแหละให้ดูครับ ฮ่าๆๆ)


2.ไขควงเบอร์ที่สามารถไขน็อตคีย์บอร์ดของท่านได้ ผมแนะนำอันนี้นะครับ ซื้อมาจากทุกอย่าง 20 บาท คุ้มมากกกกกก 


3.มองไม่ผิดครับ มันคือดินสอ ตาไม่ฝาดครับ "ดินสอ" เป็นพระเอกของงานเลยทีเดียว แนะนำให้ใช้ 2B นะครับหรือเข้มกว่านี้ได้จะดีมาก 



ทีนี้เรามาเริ่มกันเลย
รูปไม่ค่อยชัดเล้ยยย หากล้องได้แค่นี้ครับ DSLR เพื่อนเอาไปเข้าศูนย์ เฮ้อออออ จะพยายามถ่ายให้ดีที่สุดละกันครับ








นี่ล่ะครับหน้าตาของคีย์บอร์ดเจ้ากรรมของผมตัวนี้ต้องเรียกว่าตัวเก่าครับ ซื้อมาใช้ได้3เดือนพัง!!!!! ครับ แล้วเก็บไว้ 2 ปีจะ3ปีละ  
ไม่ต้องแปลกใจครับที่มันใหม่มากก เล่นเก็บไว้2ปีแล้วจับมาล้างน้ำครับ สบายยย 5555+


พลิกมาดูด้านหลังครับเริ่มจัดการแยกชิ้นส่วนมันซะเลยครับ 


ถ้ามีสติ๊กเกอร์แปะด้านหลัง น็อตมันจะแอบอยู่ครับ ถ้าถอดยากๆอย่าไปแงะงัดงอมันนะครับ เค้าออกแบบมาให้ถอดง่ายๆ


ผมใช้ไขควงเบอร์นี้นะครับ


อ่ะลงมือจัดการถอดมาให้หมดทุกตัวเลย


อุ๊ยย ร่องอะไรมืดๆ ฮ่าๆๆๆ จัดการถอดดดด มันซะ



ว๊ายยยยยยย คีย์บอร์ดเปลือย  มาๆๆ ดูเครื่องในมันกันเถอะ 



นี่เลย RubberDome แผ่นยางบ้านตูดีๆนี่เอง เฮ้ออ ข้างในมันไม่ค่อยมีอะไรหรอกครับ ผมว่า Lycosa ก็มีแค่นี้แหละ  


นี่คือส่วนแผงวงจรมันครับ ใช้รับค่าจากจุดที่กดมา ซึ่งส่วนนี้มันไม่ค่อยพังหรอกครับ ถ้าไม่ได้ทุบมันแรงๆ มากๆจนแผ่นปริ้นเขียวๆแตก  


อันนี้ส่วนบนของคีย์บอร์ดครับ ปุ่มกดมันจะล็อคกับส่วนนี้


ปุ่มชัดๆอีกที มันจะมีสลักยึดอยู่นะครับ ถ้าไม่กล้าถอดจากด้านหน้า ก็มาจิ้มๆสลักด้านหลังก็ได้ครับ 
มันจะหลุดออกมาเอง แล้วก็เอาไปล้างน้ำใส่น้ำยาล้างจานเลย รับรองว่าใหม่จริงๆ  


ทีนี้เราก็ถอด RubberDome ออกมาครับ

มันจะวางแปะไว้เฉยๆ หรือบางรุ่นอาจจะมีอะไรยึดไว้บ้างครับ ค่อยๆถอด อย่าให้มันขาด

ทีนี้เราก็มาถึงขั้นตอนการสรวจเช็คว่ามันพังตรงไหน

มาดูที่ตัว RubberDome กันก่อนเลยครับ หาดูว่ามันมีเศษฝุ่นเศษอะไรติดอยู่ใต้ปุ่มหรือเปล่า หรือบางทีมันบางDomeมันฉีกขาดซึ่งส่วนมากไม่มีหรอก  

นี่ครับ ของผมไม่มีปัญหาเลย อ้าว!!!!! แล้วตกลงมันเป้นเพราะอะไรเนี่ยที่กดไม่ติดงั้นเราไปดูกันต่อ

มาถึงส่วนสำคัญของคียบอร์ดชนิดนี้ครับ มันคือ!!!!!!

แผ่น PCB ครับ ขีดขาวๆนั่นคือตัวนำไฟฟ้าชนิดหนึ่งนะครับคืออะไรไม่รู้ ผมดูแล้วมันบอบบางมาก ถ้ามีอะไรไปขูดรับรองว่าลายลอกแน่นอน  
ตรงนี้มันจะมี3แผ่นวางซ้อนกันอยู่ครับ

มี แผ่นบน แผ่นกลาง แผ่นล่าง
-แผ่นบน ลายวงจรขาวๆ จะอยู่ด่านล่างครับ
-แผ่นกลาง เป็นแผ่นใสๆ มีรูกลมๆ ซึ่งเอาไว้เวลาที่เรากด แผ่นบนกับแผ่นล่างมันจะติดกัน เกิดเป็นตัวหนังสือมาที่จอเรานั่นเอง
-แผ่นล่าง ลายวงจรจะอยู่ด้านบนครับ


เรามาตรวจสอบกันว่า ทำไมมันถึงกดไม่ติด เริ่มหากันเลยครับ หาด้วยตาเปล่าๆนี่แหละ ว่ามันมีลายวงจรตรงไหนขาดบ้าง
เพื่อให้หาง่ายขึ้นนะครับ ลองดูแถวๆปุ่มที่กดไม่ติดนะครับ ไล่ไปตามเส้นเรื่อยๆๆ เดี๋ยวเจอครับ
  
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

นั่นไง!!!!  




ชัดเจนครับ ลายวงจรขาดเห็นๆเลยครับ ขาดแค่นี้เองโว๊ยยย ตูจะไปซื้อใหม่ทำไม  
จากจุดในรูปของผมนะครับมันเป็นที่แผ่นด้านล่าง ซึ่งเป็นตัว T แล้วมันก็ดันเป็นเส้นเดียวกับ Shiftซ้ายด้วย
ไม่ต้องไปสืบที่ไหนไกลครับ อิตัวนี้แน่นอน ตัวปัญหา!!!!!
  

เออตูรู้แล้วว่ามันขาด แล้วจะให้เชื่อมมันยังไง บัดกรีด้วยตะกั่วก็ไม่ได้ PCB ละลายแน่นอน  

ไปตามพระเอกของเรามาครับ  
ไส้ดินสอมีส่วนประกอบของคาร์บอนซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้าจ้า มันมีที่เรียกว่า Conductor pen ด้ามละ900ไห้ตายเหอะ เสียดายตัง

***ผมถนัดขวานะ แต่มันต้องถ่ายรูป 555+

นี่เลยพระเอกมาแล้ว ระบายลงไปในช่องที่ขาดเลย เน้นๆ แล้วก็ระบายยาวๆกว้างๆหน่อยก็ดี เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเชื่อมกันดี
จะได้แบบนี้แหละ



ผมลงทุนลบรอยดินสอออกแล้วระบายใหม่เพื่อชาว FPS Thailand เลยนะครับเนี่ย  

ทีนี้มาเช็คที่ส่วนของ PCB เขียวๆครับ

ตัวดำๆเรียกว่า C หรือ Capacitor ครับถ้ามันเก่ามันเสื่อม มันจะบวมๆครับ 
ถ้าCของท่านบวม ไปซื้อมาเปลี่ยนได้ครับ จำค่าเอาไปซื้อมาหรือให้ร้านเปลี่ยนให้ก็ได้ครับ

****ส่วนมากมันไม่พังหรอก

เช็คเสร็จแล้วก็จัดแจงประกอบร่างซะเลยครับ


มาเสียบลอง


กดๆๆๆๆ

เฮ้ย!!!!  ตัวTไม่ติดShiftก็ใช้ไม่ได้ Shiftหาย!!!!!
หน้าแตกละตู  

ทำไงดีครับ ไม่ต้องคิด ผมรื้อออกมาระบายใหม่ครับ โอ๊ยยย น็อตก็ใส่ไปหมดแล้ว เฮ้ออออ 
เอาเน้นๆ รื้อแบบยังเสียบสายอยู่ด้วย 555+


ระบายๆ เขียนๆๆๆๆ

นี่!!!!  เข้มพอป่าวว ลองเอามือจิ้มๆดูตรงนี้เลยละกัน เดี๋ยวประกอบมาใช้ไม่ได้อีก

แว๊บบบบบบบ

ตัว t มาแล้วว

ไหนลองกด Shift หน่อย

มาเตมมมมมม อิอิ สบายจายยยย
แล้วผมก็ต้องนั่งประกอบใหม่อีกครั้ง เฮ้อออ



เท่านี้คีย์บอร์ดสุดเลิฟของเราก็จะฟื้นคืนชีพ กลับมาใช้งานตามปรกติด้วยการลงทุนเพียงแค่............ไม่เสียตังซักบาท!!!!! 
เพราะใช้ของที่มีอยู่ก่อนแล้วครับ


เสร็จแล้วจ้า ขั้นตอนง่ายๆไม่ยากเย็น ไม่ต้องจบปริญญา ลองทำกันดูนะครับ  

ขอขอบคุณเพื่อนโอมที่อุตส่าให้ยืมกล้องนะครับ

และที่ขาดไม่ได้พื้นที่จากพี่ๆใจดีที่ FPS Thailand เอ้าปรบมือๆๆ เฮๆๆๆ


ผม NeryManZa ขอบคุณมากครับ เจอกันโอกาสหน้า ถ้ามีอะไรพังอีก ฮ่าๆๆ




เครดิต NeryManZa

จาก http://www.fpsthailand.com/forum/viewtopic.php?f=33&t=19814