การวัดและการประมวลผล
ขนาดความจุ
บิต (Bit) Binary Digit เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลที่ใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์
ไบต์ (Byte) ตัวเลขจำนวน 8 บิต จะรวมกันเข้าเป็น 1 ไบต์
กิโลไบต์ (Kilobyte) ใช้ย่อว่า KB โดย 1 KB มีค่าเท่ากับ 1,024 ไบต์
เมกะไบต์ (Megabyte) ใช้ย่อว่า MB โดย 1 MB มีค่าเท่ากับ 1,048,576 หรือ (1,024 x 1,024 ) มักใช้ในการวัดหน่วยความจำหลัก (RAM)
กิกะไบต์ (Gigabyte) ใช้ย่อว่า GB โดย 1 GB มีค่าเท่ากับ 1,073,741,824 หรือ (1,024 x 1,024 x 1,024)
เทราไบต์ (Terabyte) ใช้ย่อว่า TB โดย 1 เทราไบต์จะเท่ากับ 1,099,511,627,776 หรือ (1024 x 1024 x 1024 x 1024) บิต(Bit) Bin
เวลา
มิลลิเซกันด์ (Millisecond) หรือ 1 ส่วนพันวินาที ใช้วัดเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ (Access Time)
ไมโครเซกันด์ (Microsecond) หรือ 1 ส่วนล้านวินาที
นาโนเซกันด์ (Nanosecond) หรือ 1 ส่วนพันล้านวินาที ใช้วัดความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลใน
หน่วยความจำหลัก
พิโคเซกันด์ (Picosecond) หรือ 1 ส่วนล้านล้านวินาที มักใช้วัดรอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ
ความเร็ว
เฮิรตซ์ (Hz : Hertz) หรือ รอบต่อวินาที มักใช้ในการวัดรอบการทำงานของนาฬิกาของ Processor หรือความเร็วของBus
มิปส์ (MIPS : Millions of Instructions Per Second) มักใช้วัดความเร็วในการประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์ (คำสั่งต่อวินาที)
หน่วยความจำ
ROM มีโครงสร้างภายในอยู่ 2 ประเภทคือ
1. Transistor (หรือ Bipolar) มีความเร็วในการเข้าถึง(R/W) สูงมาก แต่มีความจุน้อย เนื่องจากมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก
2. MOSFET (หรือ Unipolar)
ชนิดของหน่วยความจำ
1. Nonvolatile Memory คือ หน่วยความจำที่ข้อมูลไม่ถูกลบหรือไม่หายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง
2. Volatile Memory คือ หน่วยความจำที่ข้อมูลจะถูกลบหรือหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง
1. Nonvolatile Memory เป็นหน่วยความจำถาวร ซึ่งข้อมูลหรือโปรแกรมที่เก็บอยู่นั้นจะคงอยู่ตลอดไปไม่สูญหายแม้ปิดเครื่องหรือไฟดับ แบ่งได้เป็นหลายชนิดคือ
1. ROM (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่ถูกบรรจุข้อมูลหรือโปรแกรมมาเรียบร้อยจากโรงงาน
2. PROM (Programmable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำชนิดที่ผู้ซื้อหรือผู้ใช้สามารถบรรจุข้อมูลได้เองเพียงครั้งเดียว โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า ROM Writer ภายหลังที่ถูกบรรจุข้อมูลแล้ว PROM จะกลายเป็น ROM
3. EPROM (Erasable Programmable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำทีเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถทำการบรรจุข้อมูลใหม่ได้หลายครั้ง โดยก่อนจะบรรจุข้อมูลใหม่ต้องลบข้อมูลเก่าก่อนโดยใช้แสง Ultraviolet ฉายผ่านทางช่องกระจก
4. EAPROM (Electrically Alterable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่เป็นโอกาสให้ผู้ซื้อหรือผู้ใช้สามารถทำการบรรจุข้อมูลใหม่ได้หลายครั้ง โดยก่อนจะบรรจุข้อมูลใหม่ต้องลบข้อมูลเก่าก่อนโดยใช้กระแสไฟฟ้า เราสามารถเรียกหน่วยความจำได้อีกอย่างว่า Firmware
2.Volatile Memory เป็นหน่วยความจำที่ข้อมูลสูญหายได้ คือหน่วยความจำที่ข้อมูลจะถูกลบหรือหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง หรือเราเรียกว่า RAM ซึ่งสามารถแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. แบบสแตติก ( Static ) หรือ SRAM ซึ่งมี 2 โครงสร้างคือ Bipolar และ Unipolar มักใช้เป็นหน่วยความจำแคช (Cache)
ข้อดี - สะดวกต่อการนำไปประยุกต์ใช้งาน และมีความเร็วสูง
- ดูแลรักษาได้ง่าย
- ไม่ต้องมีวงจรสนับสนุนมาก เช่น วงจรRefresh
- ประหยัดเนื้อที่และเวลาในการออกแบบ
ข้อเสีย - บรรจุข้อมูลได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบDynamic
- ราคาแพง และกินไฟมาก
ความเร็วของ RAM คิดกันอย่างไร
ที่ตัว Memory chip จะมี เลขรหัส เช่น HM411000 -70
ตัวเลขหลัง (-) คือ ตัวเลขที่บอก ความเร็วของ RAMตัวเลขนี้ เรียกว่า Access time คือ เวลาที่เสียไป ในการที่จะเข้าถึงข้อมูล หรือ เวลาที่แสดงว่า ข้อมูลจะถูก ส่งออกไปทาง Data busได้เร็วแค่ไหน ยิ่ง Access time น้อย ๆ แสดงว่า RAM ตัวนั้น เร็วมาก
ที่มา : http://iam.hunsa.com/hlubkuv/article/26747
บิต (Bit) Binary Digit เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลที่ใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์
ไบต์ (Byte) ตัวเลขจำนวน 8 บิต จะรวมกันเข้าเป็น 1 ไบต์
กิโลไบต์ (Kilobyte) ใช้ย่อว่า KB โดย 1 KB มีค่าเท่ากับ 1,024 ไบต์
เมกะไบต์ (Megabyte) ใช้ย่อว่า MB โดย 1 MB มีค่าเท่ากับ 1,048,576 หรือ (1,024 x 1,024 ) มักใช้ในการวัดหน่วยความจำหลัก (RAM)
กิกะไบต์ (Gigabyte) ใช้ย่อว่า GB โดย 1 GB มีค่าเท่ากับ 1,073,741,824 หรือ (1,024 x 1,024 x 1,024)
เทราไบต์ (Terabyte) ใช้ย่อว่า TB โดย 1 เทราไบต์จะเท่ากับ 1,099,511,627,776 หรือ (1024 x 1024 x 1024 x 1024) บิต(Bit) Bin
เวลา
มิลลิเซกันด์ (Millisecond) หรือ 1 ส่วนพันวินาที ใช้วัดเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ (Access Time)
ไมโครเซกันด์ (Microsecond) หรือ 1 ส่วนล้านวินาที
นาโนเซกันด์ (Nanosecond) หรือ 1 ส่วนพันล้านวินาที ใช้วัดความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลใน
หน่วยความจำหลัก
พิโคเซกันด์ (Picosecond) หรือ 1 ส่วนล้านล้านวินาที มักใช้วัดรอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ
ความเร็ว
เฮิรตซ์ (Hz : Hertz) หรือ รอบต่อวินาที มักใช้ในการวัดรอบการทำงานของนาฬิกาของ Processor หรือความเร็วของBus
มิปส์ (MIPS : Millions of Instructions Per Second) มักใช้วัดความเร็วในการประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์ (คำสั่งต่อวินาที)
หน่วยความจำ
ROM มีโครงสร้างภายในอยู่ 2 ประเภทคือ
1. Transistor (หรือ Bipolar) มีความเร็วในการเข้าถึง(R/W) สูงมาก แต่มีความจุน้อย เนื่องจากมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก
2. MOSFET (หรือ Unipolar)
ชนิดของหน่วยความจำ
1. Nonvolatile Memory คือ หน่วยความจำที่ข้อมูลไม่ถูกลบหรือไม่หายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง
2. Volatile Memory คือ หน่วยความจำที่ข้อมูลจะถูกลบหรือหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง
1. Nonvolatile Memory เป็นหน่วยความจำถาวร ซึ่งข้อมูลหรือโปรแกรมที่เก็บอยู่นั้นจะคงอยู่ตลอดไปไม่สูญหายแม้ปิดเครื่องหรือไฟดับ แบ่งได้เป็นหลายชนิดคือ
1. ROM (Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่ถูกบรรจุข้อมูลหรือโปรแกรมมาเรียบร้อยจากโรงงาน
2. PROM (Programmable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำชนิดที่ผู้ซื้อหรือผู้ใช้สามารถบรรจุข้อมูลได้เองเพียงครั้งเดียว โดยใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า ROM Writer ภายหลังที่ถูกบรรจุข้อมูลแล้ว PROM จะกลายเป็น ROM
3. EPROM (Erasable Programmable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำทีเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถทำการบรรจุข้อมูลใหม่ได้หลายครั้ง โดยก่อนจะบรรจุข้อมูลใหม่ต้องลบข้อมูลเก่าก่อนโดยใช้แสง Ultraviolet ฉายผ่านทางช่องกระจก
4. EAPROM (Electrically Alterable Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่เป็นโอกาสให้ผู้ซื้อหรือผู้ใช้สามารถทำการบรรจุข้อมูลใหม่ได้หลายครั้ง โดยก่อนจะบรรจุข้อมูลใหม่ต้องลบข้อมูลเก่าก่อนโดยใช้กระแสไฟฟ้า เราสามารถเรียกหน่วยความจำได้อีกอย่างว่า Firmware
2.Volatile Memory เป็นหน่วยความจำที่ข้อมูลสูญหายได้ คือหน่วยความจำที่ข้อมูลจะถูกลบหรือหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง หรือเราเรียกว่า RAM ซึ่งสามารถแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. แบบสแตติก ( Static ) หรือ SRAM ซึ่งมี 2 โครงสร้างคือ Bipolar และ Unipolar มักใช้เป็นหน่วยความจำแคช (Cache)
ข้อดี - สะดวกต่อการนำไปประยุกต์ใช้งาน และมีความเร็วสูง
- ดูแลรักษาได้ง่าย
- ไม่ต้องมีวงจรสนับสนุนมาก เช่น วงจรRefresh
- ประหยัดเนื้อที่และเวลาในการออกแบบ
ข้อเสีย - บรรจุข้อมูลได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบDynamic
- ราคาแพง และกินไฟมาก
ความเร็วของ RAM คิดกันอย่างไร
ที่ตัว Memory chip จะมี เลขรหัส เช่น HM411000 -70
ตัวเลขหลัง (-) คือ ตัวเลขที่บอก ความเร็วของ RAMตัวเลขนี้ เรียกว่า Access time คือ เวลาที่เสียไป ในการที่จะเข้าถึงข้อมูล หรือ เวลาที่แสดงว่า ข้อมูลจะถูก ส่งออกไปทาง Data busได้เร็วแค่ไหน ยิ่ง Access time น้อย ๆ แสดงว่า RAM ตัวนั้น เร็วมาก
ที่มา : http://iam.hunsa.com/hlubkuv/article/26747
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น